20 เมษายน 2553

KoTo11 > KoTo's Theory


เนื้อหาอะไรจะเยอะปานนั้น !!!

มีคนแนะนำให้กินชีทเรียนเข้าไปเลย

สำหรับ KoTo เคยพยายามกินเข้าไปแล้ว แต่ไม่ได้ผล TT^TT
เลยคิดว่า สงสัยร่างกายเรา response ต่อความรู้ที่อัดเข้าไป
แตกต่างจากคนอื่นละมั้ง...



มาดู KoTo's Theory กันเถอะ!!!

เหตุผลที่ KoTo กินชีทเรียนแล้วไม่ได้ผล

1. กินแล้วลำไส้ Absorb แค่ 5% ที่เหลือออกกับ Fece = =

2. จับกับ Receptor ที่ไตอย่างเหมาะเหม็ง
แล้วขับออกอย่างรวดเร็ว แบบไม่ใช้ ATP

3. Antibody จับกับความรู้และทำลายแบบไม่ใช้ Pathway ใด ๆ
ทำให้ทำลายได้ง่ายและรวดเร็วกว่าปกติ

4. ตับสร้างสาร Antitoxin กำจัดความรู้อย่างพอเหมาะพอดี

5. Pia Mater หนาเกินกว่าความรู้จะผ่านเข้าได้อย่างสะดวก
และวิธีนี้ต้องใช้ ATP

6. อัตราส่วน CSF : เนื้อสมอง = 10 : 1
ทำให้ความรู้เจือจางเกินกว่าจะเข้าสมองได้

7. ที่เลวร้ายที่สุดคือ ความรู้ที่ดูดซึมเข้าไป มักอยู่ในรูปไม่เสถียร
จึงสลายอยู่ในรูปที่ใช้ต่อไม่ได้อย่างรวดเร็ว


สรุปผลที่ได้....

Input ความรู้ 100%

ถูก absorb เข้าสมอง 0%

ด้วยเหตุผลกาลฉะนี้แล...



ไว้อาลัยให้ตัวเอง TT[]TT


12 เมษายน 2553

KoTo10 > ภาพฉาวชิ้งคุง!!!





หลุด!!! ภาพฉาวชิ้งคุง

ป้อนไอติมกะทิให้สาวซากอ้อยหน้ายาวนิรนาม

บรรยายกาศหวานซึ้งวิ้ง ๆ กลางตลาดสามชุก!!!



ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ในเมื่อมันฟ้องด้วยภาพ!!!



นำเสนอโดย ปาปารัซซ่า KoTo


KoTo9 > เที่ยวตลาดสามชุก


เที่ยวค่ะเที่ยว ^^

ตลาดร้อยปีสามชุกสุพรรณบุรีนะค้าาา

อย่าพูดพล่ามทำเพลง มาดูรูปกันเลยดีกว่า


เริ่มเดินช้อปกันแล้วค่ะ


อะนี่ ตากล้องอีกหนึ่งคนของทริปเรา (ดูคล่องแคล่วกว่าตูอีก = =)


อยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนเน้อ
โปรดสังเกตความสูงของสะพาน...
น่ากลัวได้อีก!!!


คุณยายร้านกาแฟโบราณข้าง ๆ สะพานอะ
เปิดร้านมาตั้งแต่คุณยายยังสาว
ตอนนี้ยังคล่องแคล่วอยู่เลย ชงกาแฟเร็วมากกกกก
แล้วทุกคนก็คอนเฟิร์มว่าอร่อยมากด้วย ^^
สู้ ๆ ค่ะคุณยาย!!!


มาถึงสุพรรณ ก็ต้องนี่เลย ปลาม้า
เขาว่าหาได้ที่เดียวก็ที่สุพรรณนี่แหละ

อย่าถามเรื่องรสชาติ ไม่เคยกินเหมือนกัน = =


เขาให้ใส่หมวกถ่ายรูปฟรี
หมวกใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อย่างกะเห็ดเลยเธอว์


ของเล่น ของเล่น และของเล่น


นี่ก็ของเล่นนะ (O[]O) อี๋!!!!!!


ขนมสวย ๆ ทั้งนั้นเลย ^^


นี่ก็ขนมนะ!!!
(ทำจากขนม แต่กินได้ป่าวอีกเรื่องนึง 555)


รับประกันความอร่อยโดยเด็กวังเชียวนะ


พออ่านป้ายนี้แล้วก็นึกในใจ
อืม... จริง...
แต่คุณเขียนคำผิดนะ... = =


แล้วเราก็มาฝากท้องที่ร้านนี้กัน


เปรียบเทียบขนาดลูกชิ้นยักษ์ กับ "หัว"


น่ากินไหม?
รสชาติลูกชิ้นเหมือนหมูยอเลยอะ = = แต่พริกไทยเยอะ
เส้นก๋วยเตี๋ยวให้น้อยมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
ก็เขาเน้นลูกชิ้นนี่เนอะ = ="


แป้งสมัยอาม่ายังสาวววว
อาม่าอดใจไม่ไหวถึงขนาดซือกลับ แถมเป็นพรีเซนเตอร์ให้เลยทีเดียว


อาม่ามาเปิดร้านกาแฟตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อะ O_O


กรี๊ดดดดด เห็นแล้วกิเลสขึ้น
อยากเล่นสงกรานนนนนนนนนต์
นี่ชั้นไม่ได้เล่นสงกรานต์มา 4 ปีแล้วนะ!!!


แล้วเราก็มายืนดูวิธีการทำขนมไข่ปลากัน
เป็นขนมโบราณ เห็นอาอี๊กับแม่ฮือฮากันจัง
รสชาติมันก็ เหนียว ๆ มีกลิ่นลูกตาล
ซึ่ง KoTo ไม่ชอบ = ="
เริ่มเลยนะ
สุกเต็มกระทะแล้ว !!!


พร้อมให้กินแล้ว


หลังจากยืนดูเขาทำอยู่นาน ก็จ้วงค่ะจ้วง


แถมภาพบรรยากาศของตลากสามชุกอีกที


ไปเทียวครั้งนี้ เดินไปร้อนไปค่ะ
แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับมานอกจากของกิน = =

กลับมาก็มานอนแผ่หราอยู่บ้านกัน

เอาเถอะ... นาน ๆ ไปที... = =


11 เมษายน 2553

KoTo8 > ข้อคิดวันนี้


อยู่ไป ๆ ชีวิตก็เริ่มจะคิดอะไร ๆ ได้มากขึ้นเนอะ
บางครั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่เคยถูกเก็บมาคิดเลย
โตขึ้นมาเจออีกที กลับได้ข้อคิดมาเตือนใจซะงั้น


ไม่ขอกล่าวถึงว่าเจออะไรมา
แต่ขอเล่าให้ฟังเลยละกันว่าได้อะไรกลับคืน



วันนี้ KoTo เข้าใจความหมายของคำว่า "ทุกข์เพราะคิด"
อย่างถ่องแท้เลยล่ะ
ส่วนมาก... คนที่เป็นโรคนี้... จะเป็นเพศเมียซะด้วยซี...


เพราะรักมาก เลยคาดหวังอะไร ๆ ไว้มาก
พอไม่ได้ดั่งใจ ก็เลยผิดหวังมาก
แล้วก็พยายามหาเหตุผลแย่ ๆ ว่าทำไมเขาไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง
ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยซ้ำว่าเราไปเสียใจอะไร


... คิดไปเองคนเดียว แล้วก็มาพาลคนอื่น แท้ ๆ เลย ...



"รักมาก ก็ทุกข์มาก"
คำพูดอมตะเนอะ คำเนี้ย
อะไรที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ
เช่นเดียวกัน รักมาก ทำให้เขามาก จนไม่มีเวลาหาความสุขให้ตัวเอง
ก็ทุกข์น่ะสิ
แล้วพอทำให้เขามาก ก็ยิ่งคาดหวังให้เขาต้องตอบแทนอะไรเราบ้าง
พอไม่ได้อย่างที่หวัง ก็ทุกข์อีก


รักยังไงไม่ให้ทุกข์ล่ะ...?
ก็อย่าไปคาดหวังว่าเขาต้องดีกับเรา อย่าไปใส่ใจว่าเขาทำอย่างนั้นแล้วเราจะเสียใจ
ทำให้เขาเพราะเราอยากทำ ทำแล้วมีความสุข
ถ้าทำแล้วไม่มีความสุข ก็อย่าทำ


พูดง่าย... แต่ทำยากเนอะ...



"การเปิดใจคุยและเปิดใจฟังเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม
เป็นสิ่งเยียวยาปัญหาที่ดีที่สุด"
อย่างที่เคยพูดไปนิดหน่อยตอนประเด็นเรื่องการเมืองแล้วอะนะ
ไม่ว่าจะแตกต่างกันด้านชนชั้น การศึกษา อายุ เพศ ฐานะ
ล้วนแล้วแต่มีความคิดและมีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งสิ้น
ที่แตกต่าง ก็เพราะประสบการณ์ในชีวิตเขาขัดเกลามาอย่างนั้น


ถ้าต่างคนต่างยึดเอาที่ตัวเองเคยเจอมาตัดสินคนอื่นว่าผิด
เป็นสิ่งอันไม่สมควรอย่างยิ่ง


เฮ้อ... แต่ KoTo ก็ต้องเซ็งกับเรื่องอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


อย่างที่ KoTo เคยบ่น ๆ ไว้อะนะ
"ผู้ใหญ่น่ะ ยังไงก็ถูกเสมอ"





KoTo เองก็มีอะไรต้องแก้ไขในชีวิตอีกเยอะ
เขียนเรื่องนี้ไว้ก็ดีเหมือนกัน อ่านเตือนใจตัวเอง


ถ้า KoTo ทำอะไรไม่ดีกับใครไว้ KoTo ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะ


สัญญาว่า จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น...



08 เมษายน 2553

KoTo7 > วิธีการตัดสินใจ...


เวลาจะตัดสินใจอะไรสักอย่างในขณะที่ลังเลใจ ใครใช้วิธีไหนกันบ้างหรอ...

สำหรับ KoTo แล้ว มีวิธีหนึ่งที่ใช้บ่อยมาก
คือการลำดับข้อดีข้อเสีย
ผลที่ออกมา ช่วยให้เรามีแรงฮึดที่จะตัดสินใจมากขึ้นว่าจะเลือกทางไหน

เอ้า... ยกตัวอย่างง่าย ๆ ...

สมมตินะสมมติ ว่าเดินไปเจอมือถือเครื่องนึง สวยขั้นเทพ
ราคาก็ไม่แพง เล่นแชทได้ กล้องชัดมากอีกตะหาก
แต่...
เงินเราก็ช้อปไปเยอะแล้วนะ = =

วิธีง่าย ๆ ที่ KoTo ทำคือ นั่งไล่เขียนมาเป็นข้อ ๆ เลย
มือถือเครื่องใหม่นี่ดีอย่างไร
แล้วถ้าไม่ซื้อ จะดีอย่างไร
ให้คะแนนข้อละ 1 คะแนน
จากนั้นก็รวมคะแนน

สมมติว่า คะแนนรวม ๆ แล้ว ไม่สมเหตุสมผลที่จะซื้อ
ก็จะมีเหตุผลน้ำหนักชัดเจนทำให้เรา "ตัดใจ" จากการซื้อได้ง่ายขึ้น

แน่นอน คะแนนที่เราให้ไป
ไม่มีใครกำหนดความยุติธรรมนอกจากเรา
ดังนั้น... ต้องซื่อสัตย์ในตัวเองนะคร้าบ



KoTo กำลังใช้วิธีนี้กับการตัดสินใจอะไรบางอย่าง...
ที่...
ลำบากใจเหลือเกิน...

ผลคะแนนออกมา ดีมากกว่าร้าย

ใจชื้นนะ พูดตรง ๆ
แต่... แอบรับไม่ได้กับข้อร้าย ๆ บางข้อ...
จนนึกอยากให้คะแนนแต่ละข้อมากกว่า 1 คะแนนได้ = ="



สุดท้าย เหมือนเด็กเอาแต่ใจ
... ไม่เข็ด ...
แล้วก็เจ็บซ้ำซากอีกแล้ว

น่าจะเลิกได้แล้วนะ น่าจะจำได้แล้วสักทีว่ามันเจ็บ



... ไม่เข้าใจ ...

... ข้อดี ๆ มีมากกว่าข้อร้าย ๆ เยอะเลย ...
... แต่ทำไมเราถึงเจ็บปวดและทรมานขนาดนี้นะ ...


07 เมษายน 2553

KoTo6 > อยู่แต่บ้าน


ช่วงนี้อยู่แต่บ้าน บ้าน และบ้าน
ไม่ได้โผล่หัวออกไปหลั่นล้าที่ไหนไกลเลย
ไปก็โลตัส คาร์ฟูล ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไม่กี่ห้อง TT^TT

เมื่อวันศุกร์ ก็วางแผนกับน้องว่าจะไปช้อปที่สยามวันเสาร์
พอถึงวันเสาร์ ม๊อบปิดสยาม TT_TT

เมื่อวันจันทร์ อาอี๊ก็สัญญาว่าจะพาไปสยามวันอังคาร
พอถึงวันอังคาร ทหารเตรียมสลายม๊อบ TToTT

อะไรจะดวงซวยได้ปานนี้ TT[]TT

วัน ๆ อยู่แต่บ้าน ต้องกับมลพิษทางเสียงจากทีวีช่องหนึ่งอย่างชีช้ำ
พยายามเล่นเน็ตเล่นคอม ถ่ายรูป แต่งภาพ เล่นเปียโน
เบื่อจนไม่ไหวจะเคลียร์

เมื่อวานก็นอนทั้งวัน ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนขึ้นอืด

พระเจ้า ทำไมชีวิตอับเฉาได้เยี่ยงนี้
เหงาสุดขั้วเกินบรรยาย



สรุป บล็อคนี้ไร้สาระสุด ๆ
ตั้งเพื่อมาบ่นอย่างเดียว
ขอบคุณ = =


31 มีนาคม 2553

KoTo5 > สอบใบขับขี่



หลังจากเรียนขับรถได้เพียง...
4 วัน = ="
ก็ถูกส่งตัวไปสอบใบขับขี่


ถามความเห็นส่วนตัว KoTo นะ
รู้สึกว่ายังไม่พร้อมเลย
เพิ่งเคยขับรถมาเพียง 6 ครั้ง
แล้วจะให้มาสอบใบขับขี่เนี่ยนะ
แต่ก็ไม่ได้ขัดพวกผู้ใหญ่หรอก


สอบใบขับขี่ครั้งนี้ได้บทเรียนว่า
การสอบในกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด
เป็น 2 มาตรฐานจริง ๆ = =


สอบใบขับขี่รถยนต์ต้องตรวจสายตาเยอะ
เกือบแย่เหมือนกัน

ตอนตรวจความลึกสายตา
KoTo ก็ไม่ได้ดูแท่งมันหรอก
แต่นั่งดูเงาความเข้มแสงให้มันเท่า ๆ กัน = ="

แล้วก็ตอนตรวจความกว้างลานสายตา
อันนี้เกือบไม่ผ่าน
พูดจริง ๆ ว่าถ้าเขาไม่บอกว่า "เริ่มแล้วนะ"
ก็ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามันมีสีขึ้นด้วย
แถมพอรู้ตัว ก็ต้องเดาสีมันอะ
โชคดีสุด ๆ ที่เดาได้ = ="


สอบข้อเขียนก็ยาก
มีการมาถามการต่อขั้วแบต การเติมลมยาง
พระเจ้า!!! ที่ขอนแก่นไม่เห็นมีอย่างงี้เลยอะ TT^TT
แต่ก็ได้ 30 เต็ม โฮะ ๆ ๆ ๆ ^o^
อาศัยการได้ยินผ่าน ๆ ตอนสัปงกระหว่างอบรม -*-


ตอนบ่ายสอบขับจริง ๆ
มีกังวลเล็ก ๆ ในใจขึ้นมา
นึกอยากลองรถเช่าให้คุ้นเคยก่อนสอบจริง
เพราะรถแต่ละคันมันไม่เหมือนกัน
ยิ่งเราเคยขับรถแค่คันเดียว
ถ้ามันต่างกันเพียงนิดเดียวจะมีโอกาสพลาดมากเลยนะ


แต่แล้ว... ก็ไม่มีโอกาสได้ลอง TT^TT


สอบแอบยากกว่ามอไซด์เยอะ
ไอ้ที่ให้ขับตรงและถอยตรง ทางก็แคบมากกกกกกก
แคบจนไม่กล้าทำอะไร นอกจากถือพวงมาลัยตรง ๆ
แล้วมันเจือกเบี้ยวเรื่อย ๆ TToTT
โชคดีที่ผ่านมาได้อะ
แม้ว่ากระจกข้างจะห่างเสาแค่ 1 ใน 4 คืบก็ตาม TT^TT


ท่าต่อมา เลี้ยวเทียบฟุตบาท 25 cm
ไม่ผ่านงับ TT^TT หน้าห่างเส้นเกินไป
รถมันคันเล็กกว่าของอาจารย์อะ กะไม่ถูก
เลยไม่กล้าเดินหน้ามาก
ห่างเลย แหง่ว


แต่ท่าสุดท้ายผ่านฉลุยมาก ๆ
ถอยเข้ารอบเดียวเป๊ะเลย

สรุปก็มาสอบแก้ตัววันจันทร์หน้า เป็นอันเสร็จ
หวังว่าคงผ่านอะนะ = =


ข้อคิดสำหรับการสอบวันนี้

"ลางสังหรณ์เมิงอะแม่น จำใส่หัวไว้เลย = ="



30 มีนาคม 2553

KoTo4 > เหตุการณ์ปัจจุบัน



นึกอะไรไม่รู้ เลยไปวิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้
พลาดละตู... ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่ไปพูดซะแรงในเว็บจีบัน TT^TT

เหตุผลที่เอาข้อความในเว็บนั้นมาลง ก็เพื่อจะเตือนใจ KoTo เองอะนะว่า
ครั้งหนึ่ง... เราเคยมีความคิดแบบนี้...

อย่าได้ลืมเลือนมันเชียว...



ก่อนที่จะพูดอะไรก็แล้วแต่... ขออนุญาตออกตัวก่อนว่า...

ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ไม่เคยดูข่าวการเมืองเลย
ม่เคยติดตามข่าวบ้านเมืองเลย
ถามว่านายกคนปัจจุบันชื่ออะไรก็ไม่เคยตอบได้

เพราะฝังใจเหลือเกินว่า
รัฐบาลมันก็เลวทรามต่ำช้ากันทุกยุคทุกสมัยมันนั่นแหละ

มหาวิทยาลัยที่เราอยู่เป็นเสื้อเหลือง ส่วนคนที่บ้านเราเป็นเสื้อแดง
ต่างกันสุดขั้วมาก และแรงพอ ๆ กันทั้งที่มหาลัยและที่บ้าน
ยิ่งทำให้เราเกลียดการเมืองยิ่งขึ้น
ที่มาก่อกวนความสงบของชีวิตเรา
และก็ยิ่งแอนตี้การเมืองมากขึ้น


เราเพิ่งมาดูข่าวการเมืองและรู้เรื่องทั้งหมด เมื่อ 3 วันก่อนนี้เองค่ะ
(ช้าไปไหมอายุ 20 แล้วนะเนี่ย)

ไม่ขอวิจารณ์รัฐบาลหรือเสื้อแดง
แต่ขอวิจารณ์ภาพรวมของเหตุการณ์ครั้งนี้ละกันนะคะ


สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ หากมีใครไม่พอใจหรือกล่าวว่าคิดผิด
ก็ขออภัยด้วย
และหากสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ มีความไม่เหมาะสมกับเว็บ
อนุญาตให้ลบกระทู้นี้ได้เลยนะคะ...




สิ่งที่เราได้... จากการรู้เรื่องการเมืองครั้งนี้
ขออนุญาตสรุปไว้เป็นข้อ ๆ นะคะ


1. คนไทยส่วนมาก นิยมเสพข่าวด้านเดียวและเชื่อกับข่าวที่ออกมามากเกินไป
โดยที่ไม่หาข้อมูลด้านอื่น ๆ มารองรับ
ว่าข่าวที่ออกมานั้นมีมูลเหตุความจริงมากแค่ไหน

ต้องยอมรับกันจริง ๆ ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการมากเท่าไหร่
โอกาสที่ความจริงจะถูกบิดเบือนก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
สื่อแพร่ข่าวได้เร็วมากขึ้น ทำให้บางครั้งขาดการไตร่ตรองก่อน
บางครั้งมีความไม่โปร่งใสในการออกข่าว
อีกทั้งคนธรรมดามีโอกาสแพร่ข่าวลือผิด ๆ มากขึ้น
และก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วหากคนที่นำข่าวไปพูดต่อไม่ได้กลั่นกรองก่อน

หากคนไทย... ฟังหูไว้หู...คิดหลายมุม มองหลายด้านให้มาก ๆ ...
สังคมไทยคงจะไม่ถูกครอบงำด้วยความเข้าใจผิด ๆ
ซึ่งเอื้อประโยชน์
ให้แก่ผู้ที่ต้องการผลประโยชน์
จากประเทศชาติ...
เหมือนตอนนี้...


2. คนไทยส่วนใหญ่ มองความคิดเห็นของคนอื่น
ผ่านทางชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง

คนเราเกิดมาชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน
ขนาดอยู่บ้านเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ถ้าเราจะตัดสินความคิดของคนอื่น
โดยที่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด ไม่มีใครคิดผิด
เพราะประสบการณ์ของแต่ละคน
เป็นตัวกลั่นกรองความคิดให้แตกต่างกัน
นั่นเป็นสิ่งที่ดี หากนำความคิดของแต่ละคน
มาช่วยกันประกอบให้เป็นรูปเป็นร่าง

หากคนไทยเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากกว่านี้...
สังคมไทยก็คงมีความขัดแย้งน้อยลงมากกว่านี้...


3. คนไทยส่วนใหญ่ชอบดูถูกผู้ที่ฐานะต่ำกว่า
ไม่ว่าจะต่ำกว่าเรื่องการศึกษา รายได้
หน้าตา บุคลิก หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกเรื่อง
ซึ่งการดูถูกนี้จะนำไปสู่การไม่รับฟังความคิดเห็นของคนที่ด้อยกว่า

เพราะคิดว่าคนที่การศึกษาต่ำกว่า โง่กว่าคนที่เรียนจบเมืองนอก
เพราะคิดว่าคนที่ฐานะต่ำกว่า ไม่มีโอกาสรู้ข่าวทางเว็บไซด์
ทำให้ไม่รู้ความจริงอะไรหลาย ๆ อย่าง
เพราะคิดว่าคนที่รายได้ต่ำกว่าทำทุกอย่างเพื่อเงิน รายได้ และผลประโยชน์

การศึกษาที่สูง มีเพียงภาคบรรยายของชีวิตของผู้ไม่มีโอกาสทางการศึกษา
แต่จะไม่มีวันเข้าใจ หากไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา
ฐานะที่ดี ไม่ได้สอนให้เข้าใจความแร้นแค้นของคำว่าไม่มี
หากชีวิตนี้ไม่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน

แล้วจะบอกว่าคนที่การศึกษาต่ำกว่า
โง่กว่าคนที่การศึกษาสูงกว่าได้อย่างไร?

หากคนไทย "เปิดใจคุย" และ "เปิดใจฟัง"
โดยที่ไม่มีอคติใด ๆ ภายในจิตใจ...
สังคมไทยคงมีความเท่าเทียมกันและน่าอยู่กว่านี้...


4. คนไทยชอบอิจฉาคนที่อยู่ในสถานะที่สูงกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เก่งกว่า ฐานะดีกว่า
เพราะรู้ว่าการที่เขามีความสามารถสูง
ทำให้ได้งานที่ดีกว่า รายได้ดีกว่า

จึงพยายามขัดขวางไม่ให้คนเก่งขึ้นมาทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร

เพราะไม่อยากทำงานที่เขาสั่ง
อีกทั้งยังมองว่าการบริหารงานของเขานั้นห่วยแตก
โดยที่บางครั้งไม่เคยคิดเลยว่า
จริง ๆ แล้วเป็นเพราะเราต่างหาก ที่ไม่ได้มองการณ์ไกลเหมือนเขา
มัวแต่จ้องจับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยย้อนมองดูตัวเองเลย
ว่าตัวเองดีกว่าเขาแล้วหรือ จึงมีสิทธิ์ไปวิพากย์วิจารณ์ตัดสินคนอื่นเขา

หากคนไทยสนับสนุนคนที่มีความสามารถ
ในการบริหารงานไม่ว่างานใดอย่างเต็มใจ...
สังคมไทยคงพัฒนาไปได้ไกลมากกว่านี้...


5. สุดท้ายนี้ ก็คงไม่พ้นกิเลสของคน
ซึ่งครอบงำให้เกิดความอิจฉา
ชอบความมันส์ เลือกเสพสื่อแต่ด้านที่ชอบ
อยากได้ อยากมี อยากเป็น ทรยศคดโกง
เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายบนโลกใบนี้

หากคนไทยรู้จักคำว่า "พอ"...
สังคมไทยคงไม่ถอยหลังไปมากขนาดนี้...



ขอจบด้วยพระราชปณิทานของพระราชบิดา
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"


ไม่มีอะไรจะฝาก นอกจากความหวังของคนธรรมดาคนหนึ่ง
ซึ่งหวังเป็นเหลือเกินว่า

จะมีสักวันที่ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์นั้นว่างเปล่า...

เพราะไม่ข่าวความขัดแย้งของสังคมให้รายงานอีกต่อไป...