ก่อนที่จะพูดอะไรก็แล้วแต่... ขออนุญาตออกตัวก่อนว่า...
ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ไม่เคยดูข่าวการเมืองเลย
ไม่เคยติดตามข่าวบ้านเมืองเลย
ถามว่านายกคนปัจจุบันชื่ออะไรก็ไม่เคยตอบได้
เพราะฝังใจเหลือเกินว่า
รัฐบาลมันก็เลวทรามต่ำช้ากันทุกยุคทุกสมัยมันนั่นแหละ
มหาวิทยาลัยที่เราอยู่เป็นเสื้อเหลือง ส่วนคนที่บ้านเราเป็นเสื้อแดง
ต่างกันสุดขั้วมาก และแรงพอ ๆ กันทั้งที่มหาลัยและที่บ้าน
ยิ่งทำให้เราเกลียดการเมืองยิ่งขึ้นที่มาก่อกวนความสงบของชีวิตเรา
และก็ยิ่งแอนตี้การเมืองมากขึ้น
เราเพิ่งมาดูข่าวการเมืองและรู้เรื่องทั้งหมด เมื่อ 3 วันก่อนนี้เองค่ะ
(ช้าไปไหมอายุ 20 แล้วนะเนี่ย)
ไม่ขอวิจารณ์รัฐบาลหรือเสื้อแดง
แต่ขอวิจารณ์ภาพรวมของเหตุการณ์ครั้งนี้ละกันนะคะ
สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ หากมีใครไม่พอใจหรือกล่าวว่าคิดผิด
ก็ขออภัยด้วย
และหากสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ มีความไม่เหมาะสมกับเว็บ
อนุญาตให้ลบกระทู้นี้ได้เลยนะคะ...
สิ่งที่เราได้... จากการรู้เรื่องการเมืองครั้งนี้
ขออนุญาตสรุปไว้เป็นข้อ ๆ นะคะ
1. คนไทยส่วนมาก นิยมเสพข่าวด้านเดียวและเชื่อกับข่าวที่ออกมามากเกินไป
โดยที่ไม่หาข้อมูลด้านอื่น ๆ มารองรับ
ว่าข่าวที่ออกมานั้นมีมูลเหตุความจริงมากแค่ไหน
ต้องยอมรับกันจริง ๆ ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศมีพัฒนาการมากเท่าไหร่
โอกาสที่ความจริงจะถูกบิดเบือนก็ยิ่งมีมากเท่านั้น
สื่อแพร่ข่าวได้เร็วมากขึ้น ทำให้บางครั้งขาดการไตร่ตรองก่อน
บางครั้งมีความไม่โปร่งใสในการออกข่าว
อีกทั้งคนธรรมดามีโอกาสแพร่ข่าวลือผิด ๆ มากขึ้น
และก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วหากคนที่นำข่าวไปพูดต่อไม่ได้กลั่นกรองก่อน
หากคนไทย... ฟังหูไว้หู...คิดหลายมุม มองหลายด้านให้มาก ๆ ...
สังคมไทยคงจะไม่ถูกครอบงำด้วยความเข้าใจผิด ๆ
ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ต้องการผลประโยชน์จากประเทศชาติ...
2. คนไทยส่วนใหญ่ มองความคิดเห็นของคนอื่น
ผ่านทางชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง
คนเราเกิดมาชีวิตความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน
ขนาดอยู่บ้านเดียวกันยังไม่เหมือนกันเลย
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ถ้าเราจะตัดสินความคิดของคนอื่น
โดยที่เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด ไม่มีใครคิดผิด
เพราะประสบการณ์ของแต่ละคน
เป็นตัวกลั่นกรองความคิดให้แตกต่างกัน
นั่นเป็นสิ่งที่ดี หากนำความคิดของแต่ละคน
มาช่วยกันประกอบให้เป็นรูปเป็นร่าง
หากคนไทยเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากกว่านี้...
สังคมไทยก็คงมีความขัดแย้งน้อยลงมากกว่านี้...
3. คนไทยส่วนใหญ่ชอบดูถูกผู้ที่ฐานะต่ำกว่า
ไม่ว่าจะต่ำกว่าเรื่องการศึกษา รายได้
หน้าตา บุคลิก หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกเรื่อง
ซึ่งการดูถูกนี้จะนำไปสู่การไม่รับฟังความคิดเห็นของคนที่ด้อยกว่า
เพราะคิดว่าคนที่การศึกษาต่ำกว่า โง่กว่าคนที่เรียนจบเมืองนอก
เพราะคิดว่าคนที่ฐานะต่ำกว่า ไม่มีโอกาสรู้ข่าวทางเว็บไซด์
ทำให้ไม่รู้ความจริงอะไรหลาย ๆ อย่าง
เพราะคิดว่าคนที่รายได้ต่ำกว่าทำทุกอย่างเพื่อเงิน รายได้ และผลประโยชน์
การศึกษาที่สูง มีเพียงภาคบรรยายของชีวิตของผู้ไม่มีโอกาสทางการศึกษา
แต่จะไม่มีวันเข้าใจ หากไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา
ฐานะที่ดี ไม่ได้สอนให้เข้าใจความแร้นแค้นของคำว่าไม่มี
หากชีวิตนี้ไม่เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน
แล้วจะบอกว่าคนที่การศึกษาต่ำกว่า
โง่กว่าคนที่การศึกษาสูงกว่าได้อย่างไร?
หากคนไทย "เปิดใจคุย" และ "เปิดใจฟัง"
โดยที่ไม่มีอคติใด ๆ ภายในจิตใจ...
สังคมไทยคงมีความเท่าเทียมกันและน่าอยู่กว่านี้...
4. คนไทยชอบอิจฉาคนที่อยู่ในสถานะที่สูงกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เก่งกว่า ฐานะดีกว่า
เพราะรู้ว่าการที่เขามีความสามารถสูง
ทำให้ได้งานที่ดีกว่า รายได้ดีกว่า
จึงพยายามขัดขวางไม่ให้คนเก่งขึ้นมาทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร
เพราะไม่อยากทำงานที่เขาสั่ง
อีกทั้งยังมองว่าการบริหารงานของเขานั้นห่วยแตก
โดยที่บางครั้งไม่เคยคิดเลยว่า
จริง ๆ แล้วเป็นเพราะเราต่างหาก ที่ไม่ได้มองการณ์ไกลเหมือนเขา
มัวแต่จ้องจับผิดคนอื่น แต่ไม่เคยย้อนมองดูตัวเองเลย
ว่าตัวเองดีกว่าเขาแล้วหรือ จึงมีสิทธิ์ไปวิพากย์วิจารณ์ตัดสินคนอื่นเขา
หากคนไทยสนับสนุนคนที่มีความสามารถ
ในการบริหารงานไม่ว่างานใดอย่างเต็มใจ...
สังคมไทยคงพัฒนาไปได้ไกลมากกว่านี้...
5. สุดท้ายนี้ ก็คงไม่พ้นกิเลสของคน
ซึ่งครอบงำให้เกิดความอิจฉา
ชอบความมันส์ เลือกเสพสื่อแต่ด้านที่ชอบ
อยากได้ อยากมี อยากเป็น ทรยศคดโกง
เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลายบนโลกใบนี้
หากคนไทยรู้จักคำว่า "พอ"...
สังคมไทยคงไม่ถอยหลังไปมากขนาดนี้...
ขอจบด้วยพระราชปณิทานของพระราชบิดา
"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"
ไม่มีอะไรจะฝาก นอกจากความหวังของคนธรรมดาคนหนึ่ง
ซึ่งหวังเป็นเหลือเกินว่า
จะมีสักวันที่ข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์นั้นว่างเปล่า...